“แกงส้ม” ทุ่มเกือบล้าน ปลุกกระแส T-POP แพลนส่งเด็กสู่เวทีสากล
เรียกว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของนักร้องจากเวทีเดอะสตาร์คนนี้ “แกงส้ม ธนทัต” กับการนั่งแท่น CEO แบบเต็มตัวกับการเป็นป๋าดันของค่าย OGME Entertainment ทุ่มงบเกือบ 1 ล้านบ้านเพื่อปลุกปั้นกระแส T-POP ให้กลับมาเปรี้ยงอีกครั้ง ยอมรับว่าขอโหดในทุกๆขั้นตอนของการคัดเด็ก แพลนส่งออกสู่ระดับสากล
เปิดโปรเจ็คซีซันที่ 2 ?
“วันนี้เป็นการเดบิวต์อย่างเป็นทางการของผลผลิตจากรายการ Road To Idol 2 ของค่าย OGME Entertainment โปรเจ็กนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีเต็ม จริงๆแล้วมันดีเลย์มา 2 เดือน จริงๆผมตั้งใจไว้ว่าจะให้มันเสร็จใน 9-10 เดือน กลายเป็น 12 เดือนเต็มๆ ตอนนี้ก็ได้ผลผลิตคือบอยแบนด์กลุ่มนึง 4 คน ก็คือ TWIXT และน้องๆเกิร์ลกรุ๊ป ประมาณ 3 คน อันนี้ไม่ได้เดบิวต์ แต่จะไปสู้กันต่อใน Road To Idol Season 3 “
แสดงว่ามันต้องผ่านกระบวนการ?
“จริงๆแล้วซีซั่นที่ 1 เป็นฝาแฝด “มิคแมค” เป็นการทดลองของตัวเราเองและตัวน้องด้วย ซีซั่นที่ 2 เราทำเป็นกรุ๊ปเป็นบอยแบนด์ 5 คน เกิร์ลกรุ๊ป 5 คน มันต้องผ่านการออดิชั่น ใครไม่ผ่านใครไม่ไหว มีการขอเกิดขึ้นก็ว่าไปตามระเบียบของมัน แค่นั้นเอง ใครที่เหลือรอดก็คือคนที่ได้ทำงานหรือยังอยู่ในโปรเจ็ค บอยแบนด์เขารอด 4 คนที่เราคิดว่ามันได้มาตรฐานเราก็เลยทำให้เขาเป็นบอยแบนด์ “TWIXT” ขึ้นมา ส่วนเกิร์ลกรุ๊ปเหลือ 3 คน ซึ่งมันน้อยเกินสำหรับผมก็เลยให้ไปสู้กันต่อในซีซั่น 3 “
คุณสมบัติของคนที่อยู่รอด?
“ทัศนคติสำคัญที่หนึ่งครับ ใจสู้ มีวินัยแล้วก็สามารถทำงานร่วมกันได้ อันนี้คือหลักๆ เพราะเขาต้องรักกันมากจริงๆ ต้องเข้าใจกันจริงๆ พร้อมที่จะโดนเพื่อนในวงคอมเม้นต์และพร้อมจะทะเลาะกันเรื่องงาน ต้องไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยว เรื่องงานก็คือเรื่องงาน มันต้องผ่านบททดสอบเยอะเหมือนกัน รวมการพัฒนาตัวเองที่ต้องได้ดั่งใจผมและมาตรฐานที่ผมตั้งไว้”
แสดงว่าแกงส้มเองก็มีมาตรฐานสูง?
“ใช่ครับ เราไม่ใช่แค่อยากเอาเด็กหน้าตาดีมารวมกันแล้วเดบิวต์มันไม่สนุก อยากทำแล้วเห็นเด็กเก่งขึ้นจากวันแรกจนถึงวันที่เดบิวต์ มันต่างกันสิ้นเชิงเลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงจุดนี้ เราอยากได้ความรู้สึกนั้น รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากลับการเสียแรง เสียเวลา เสียเงินที่ลงทุนไป”
ตั้งเป้าไปถึงระดับสากลไหม?
“เราก็อยากไปถึงตรงนั้น แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าด้วยการฝึกของเรา ด้วยเงินทุนของเรา ด้วยอะไรต่างๆเราไปถึงจุดไหน ไม่อยากทำอะไรเกินตัว พูดตรงๆเราไม่ได้มีเงินเป็น 10 ล้านมาลงที่จะปั้นศิลปินซักเบอร์หนึ่ง แต่เรามีแรงกาย แรงใจ มีความรู้ มีประสบการณ์ มีทีมที่พร้อมจะมาพัฒนาน้องๆ ถ้าเทียบกับไอดอลระดับโลกอย่างเกาหลีเราแค่เสี้ยวเดียวกับเค้าเอง แล้วให้เราไปเทียบกับเขามันเป็นไปไม่ได้ เขาฝึกกัน 3-4 ปี บางคน 5 ปียังไม่ได้เดบิวต์เลย ซึ่งเราเป็นแค่เศษเสี้ยวแต่อย่างน้อยๆเราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ T-POP มันกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งหนึ่ง”
แสดงว่าโปรเจ็คนี้เราก็ลงไปทำเองทุกอย่างเลย?
“ใช่ครับ ทำเองทุกอย่างเลยคือต้องบอกว่ามันเริ่มต้นจากการที่ผมแล้วก็เพื่อนของผมชื่อ สอง เขาทำเบื้องหลังรายการ HipHop มาเยอะทั้งรายการ The Face Thailand ด้วย เขาเป็นดีเจด้วย เค้ามีโอกาสให้เป็นเด็กฝึกในค่ายที่ประเทศเกาหลี แต่เขาออกมาก่อน ด้วยอายุเค้าเลยขอออกมาทำในสิ่งที่เขารักดีกว่า ก็เลยมีความรู้ประมาณหนึ่งว่าที่นู้นเค้าทำยังไงเราก็เลยเอามาปรับใช้กับตรงนี้ พอเรากับเขามารวมกันเรามีประสบการณ์ในด้านวงการบันเทิงเค้ามีประสบการณ์ในเรื่องของเบื้องหลังเยอะ เราก็เลยมาร่วมทีมแล้วก็ทำศิลปินขึ้นมาดีกว่า”
ซีซั่น 3 คือจะเป็นภาคต่อ หรือเริ่มต้นใหม่?
“เค้าจะรับเด็กเข้ามาเพิ่มครับโดยจะมีน้องน้อง 3 คนจะเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่เหลือรอดชีวิตที่เหลือรอดในรายการเข้ามาด้วย คือตอนนี้ผมกำลังจะทำการประเมินน้อง ถ้าเค้าผ่านการประเมินเค้าจะเป็น 3 คนยืนพื้นแล้วก็รับเด็กเข้ามาเพิ่ม 1-2 คนแต่ถ้าเค้าไม่ผ่านการประเมิน 3 คนนี้ก็จะเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันและจะมีสิทธิ์ถูกคัดออกในซีซั่นหน้าด้วย ไม่มีเวลาให้เสียแล้วสำหรับเกิร์ลกรุ๊ปเพราะว่า 1 ปีถ้าเค้ายังพัฒนาไม่พอเราก็ไม่รู้จะเสียเวลากับเขาไปทำไม ก็จะโหดๆนิดนึง ทุกคนมีโอกาสหลุดตลอด”
แสดงว่าเราก็โหดอยู่?
“โหดครับต้องโหดนิดนึง เรื่องเงินเราไม่เสียดายอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เสียเงินกับอะไรสักอย่างเราก็อยากเสียงเงินให้กับคนที่ตั้งใจแล้วก็พัฒนาจริงๆ เมื่อไหร่ที่เราเห็นว่าน้องไม่ไหว น้องสู้ไม่ได้ เราก็แค่คัดออกแค่นั้นเอง ก็เป็นเรื่องปกติของการทำงานในระบบค่ายเพลง”
เรื่องค่าใช้จ่าย ทุ่มหมดหน้าตักเลยไหม?
“ไม่ถึงกับหมดหน้าตักเพราะว่าเราก็ต้องเหลือเงินไว้ทำอย่างอื่นบ้าง ทำเท่าที่เราทำได้ ในสเกลที่เราทำไหว อะไรที่มันเกินตัวเราก็ไม่อยากทำ มันมีแต่จะเจ็บตัวแล้วก็เจ็บตัว จริงๆตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะได้ทุนคืนเมื่อไหร่ เพราะว่าวงการเพลงเงินมันไม่ได้เป็นกอบเป็นกำอยู่แล้วแล้วยิ่งเราดูแลเด็กหลายคน จ่ายค่าเยอะแยะมากมาย ถ่ายแล้วเราทำด้วยใจรักมากกว่า”
เหยียบ 10 ล้านเลยไหม?
“ไม่ถึงครับ หลักเกือบๆล้าน ถ้าไม่ได้ไปคอนเนคชั่นผมว่ามันก็เลยหลักล้านไปแล้วแหละ ได้ลูกค้าที่น่ารักด้วย ได้พาร์ทเนอร์ที่น่ารักหลายคนมาจอยกันมันก็เลยทำให้ในงบที่เรามีอยู่ผลักดันให้น้องๆมาถึงจุดนี้ ก็ต้องขอบคุณทุกคนด้วยที่มองเห็นในอุดมการของเราแล้วก็อยากเข้ามาร่วมในตรงนี้”
ถ้ามองในมุมมองของบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปตอนนี้มันก็มีขึ้นมาเยอะมาก กังวลเรื่องคู่แข่งไหม?
“ไม่กังวลครับ มันเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ ได้ทำให้เด็กของเรารู้สึกว่าวงซ้ายวงขวาเค้าจะมาแล้วนะ แต่ในความแข่งขันของเด็กๆมันก็มีมิตรภาพบางอย่าง เพราะทุกวงที่เดบิวต์ออกมามันก็เป็นเพื่อนของน้องๆวง TWIXT ทั้งนั้น วงการเดียวกัน เป็นเด็กที่ตามฝันเหมือนกัน ชอบเหมือนกัน เต็มโคฟเวอร์มาก่อน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน การแข่งขันมันมีความน่ารักบางอย่างนะ ผมว่าดีด้วยซ้ำมันจะทำให้วงการ T-POP กระเตื้อง ถ้าเราอยากให้มันกลับมาจริงๆเราก็ต้องการกลุ่มใหญ่ๆที่ทำให้มันกระเพื้อมขึ้นมา อยากเป็นกำลังใจให้น้องทุกคนที่เดบิวต์เพราะเชื่อว่าทุกคนเหนื่อย กว่าจะมาถึงจุดนี้ ผมเห็นบางค่ายทำมานานแล้วยังไม่ได้เดบิวต์เลยอะ เห็นแล้วก็รู้สึกว่าทุกคนใจสู้นะเพราะฉะนั้นเรามาเจอกันบนเวที T-POP ดีกว่า แฮปปี้ไปด้วยกันสำหรับวงการนี้เป็นกำลังใจให้กับบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปทุกวง”
บางค่ายเค้าก็ลงทุนเป็น 10 ล้านเพื่อการโปรโมท เรามีหวั่นบ้างไหม?
“ผมไม่หวั่นแต่ว่าผมไม่ไหว ผมไม่มีเงิน 10 ล้าน ที่จะไปลงจริงๆเราใช้คอนเน็คชั่นส์ ผมรู้แค่ว่าผมจะโปรโมทด้านไหนแล้วผมจะไปที่ใคร ผมอาจจะเน้นไปที่ออนไลน์มากกว่า ไม่ได้เสียเงินเอาน้องไปออกรายการ ทำ Billboard ยิ่งทั่วกรุงเทพผมไม่มีเงินขนาดนั้น แต่เราใช้สมองจากทีมของเรา เรามีครีเอทีฟเรามีคนหลายคนที่อยากจะมาช่วยงานเรา ทำให้น้องๆออกไปสู่สายตาของคนทั่งไป หวังว่าทุกคนจะเปิดใจรับกับน้องน้องวง TWIXT วงนี้เพราะว่าเราก็ตั้งใจทำจริงๆ ผ่านอะไรมามากมายตลอด 1 ปี”
มีงานต่างประเทศติดต่อมาบ้างยัง?
“ถ้าเรามีพาร์ทเนอร์จากประเทศจีน เขาผลิตคอนเทนท์ที่จีน เราก็เลยเซ็นสัญญาให้น้องเป็นศิลปินกับเขา เรามีผลงานอะไรก็สามารถส่งไปเพราะหมดที่จีนได้ มีงานอะไรที่จีนเราก็สามารถพาน้องน้องไปโชว์ได้ก็ต้องรอดูว่าอนาคตจะเป็นยังไง”