“อเล็กซ์” ยันไม่ทิ้งงานละคร พร้อมเผยจะจัดตั้งมูลนิธิช่วยเหลือสังคมเป็นของตัวเอง
นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่หลายๆคนยกให้เป็นต้นแบบของคนในวงการบันเทิงด้านการช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างหนุ่ม “อเล็กซ์ เรนเดล” ที่ช่วงนี้อาจจะห่างหางจากหน้าจอไปซักระยะ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาเปิดเผยแล้วว่ากำลังมีโปรเจ็กต์ใหม่อยู่มากมาย และยังรักในการแสดงไม่คิดจะทิ้งงานในวงการแน่นอน แถมหนุ่มอเล็กซ์ก็ยังมีโครงการที่ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสอีกด้วย งานนี้เจ้าตัวจึงขอเปิดเผยทั้งหมดว่า…
คนก็ติดภาพเราแบบนี้ไปแล้ว?
“ใช่ครับ ช่วงนี้งานละครก็ยังไม่ได้ออนแอร์ แล้วก็มีละครเมื่อปีที่แล้วด้วย2เรื่อง อาจจะเป็นด้วยจังหวะว่าตอนนี้เราถ่ายทำเรื่องทีใครทีมัน ก็อาจจะได้ดูช่วงปลายปี ถ้ามีละครภาพก็อาจจะเปลี่ยน แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ส่วนตัวละครคือการแสดงของเรา เพราะอย่างนั้นเราเลยอยากให้ทุกคนชอบเราด้วยการแสดงของเรามากกว่าชีวิตส่วนตัว”
จัดการได้ไหมในแบบต้องทำสองด้าน?
“ผมก็จัดการได้ ก็ตอนนี้งานมันมาหลายทิศหลายทาง มันไม่ใช่แค่ละครหรืองานสิ่งแวดล้อม เพราะเราต้องไปเป็นวิทยากร ต้องไปพูดเต็มไปหมดเลย ตามโรงเรียน ตามมหาลัย ตามองค์กรบ้าง งานทางสังคมด้วย งานอีเว้นท์ด้วย คือตอนนี้ก็มีเลขาแล้วก็ดีขึ้นมีคนมาช่วยซัพพอร์ตแล้ว ก็พยายามตัดบางสิ่งบางอย่างแล้ว”
ก่อนเริ่มโครงการเห็นว่ามีพี่เต้ยเข้ามาช่วยเขาทำอะไรบ้าง?
“พี่เต้ยคือก็คุยกันตลอด อย่างเมื่อเช้าก็ยังคุยกันอยู่เลยก็ยังปรึกษากัน คือการที่เรามีคนที่รู้เกี่ยวกับโครงการเหมือนเรา เราก็อยากจะเล่าถึงไอเดียของเรากับอีกคนขอความคิดเห็นของอีกคน ไม่ใช่ว่าเราคิดอยู่คนเดียวมันก็จะยากกับเรา เพราะฉะนั้นพี่เต้ยยังไม่ได้ไปไหน ยังอยู่กับเรายังวนเวียนอยู่ เพราะบางทีเข้ามาในออฟฟิศทีมงานก็บอกว่าพี่เต้ยเอาขนมมาฝากทุกคนในออฟฟิศ เขาก็ยังเข้ามาเป็นระยะ แต่อาจจะไม่ได้เข้ามาบริหารแบบเต็มตัว”
คือแบบนี้เท่ากับว่าเขาก็ไม่ได้ลงแบบเต็มที่?
“เขาลงครับ แต่แค่เขาไม่ออกสื่อ เขาก็ลงบ้างในวันว่าง ถามว่ามีค่ายไหนบ้างเขาก็ไป แต่ผมไม่ได้ไป เขาก็ไปแบบทำทีสิสอะไรของเขา ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีกันตลอดไป”
เห็นว่าจะมีโครงการเกี่ยวกับเด็กออทิสติกด้วย?
“ใช่ครับ เราก็ทำโครงการแบบเพื่อสังคม100% ทุกคนทำด้วยหัวใจ เราก็อยากจะไปจัดให้สำหรับผู้ที่ด้อยโอกาส เข้ามาอยู่ในโครงการเรา คือเราเคยทำมาแล้วแต่เราอยากจะแบบไปเดินป่าแล้วก็สอนเขาเพื่อให้เขามีโอกาสทางสังคม หรือว่าใช้ธรรมชาติในการฟื้นฟูเขาด้วย ตัวผมเองก็กำลังคิดว่าจะเปิดเป็นมูลนิธิที่เป็นของตัวเองแบบเป็นเรื่องเป็นราวเป็นของเราคนเดียว ก็ตั้งใจอยากให้คุณแม่เป็นเจ้าของมูลนิธินี้เพราะว่าเขาเกษียณแล้วก็เลยอยากให้เขามีอะไรทำ ซึ่งเวลาที่เราไปเป็นวิทยากรเขาก็จะมีค่าตอบแทนให้บ้างเล็กน้อยแต่เราจะขอไม่รับเลยอยากจะแบบให้เขาให้เงินตรงนั้นมาเข้ามูลนิธิเลยดีกว่าเพื่อทำโครงการอื่นๆอีกต่อไป เพื่อเป็นการขยายต่อ เพราะการระดมทุนเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ยากมาก เพราะถ้าเราใช้ตัวเราระดมตรงนั้นมาได้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี”